แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand ความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติรังสรรค์คืออีกหนึ่งแรงดึงดูดให้ใคร ๆ ก็อยากไปเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาตัวเองสักครั้ง ซึ่งหลายคนเตรียมปักหมุดให้เป็นหนึ่งในที่เที่ยวในฝันที่ต้องไปเยือนให้ได้ ยิ่งเที่ยวยิ่งหลงรัก และ อันซีนไทยแลนด์ ที่เที่ยวสุดมหัศจรรย์น่าไปสัมผัสด้วยตัวเอง มานำเสนอกันไปแล้ว คราวนี้มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น Unseen Thailand แบบที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ก่อเกิดเป็นความงดงามให้เราได้ยลกันบ้าง บอกเลยว่าแต่ละแห่งมันว้าวเกินบรรยายจริง ๆ เริ่มที่

1. ทะเลแหวกสันหลังมังกร เกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา
กลางทะลอันดามันที่กว้างใหญ่ มีพื้นทรายเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นมายามน้ำลด ตั้งอยู่ห่างจากเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา ประมาณ 3 กิโลเมตร บริเวณเกาะพลอง โดยสันหลังมังกรตัวนี้จะปรากฏก็ต่อเมื่อถึงช่วงเวลาน้ำลดที่เหมาะสมเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสันหลังมังกรโผล่ขึ้นมาทักทายเราความยาวคดเคี้ยวกว่า 2 กิโลเมตร ทั้งนี้แนะนำให้เช็กระดับน้ำก่อน และไปเที่ยวช่วงน้ำเพิ่งลง

2. หาดชมดาว แก่งหินงาม
สถานที่ท่องเที่ยวริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบลนาตาล อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี โดย “หาดชมดาว” เป็นชื่อเรียกที่ชาวบ้านเรียกหาดทรายที่โผล่ขึ้นมากลางลำน้ำโขงในช่วงหน้าแล้ง มีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งชาวบ้านมักจะพากันมาเล่นน้ำเพื่อคลายร้อนและนั่งพักผ่อนหย่อนใจ

ถัดไปจากหาดทรายอันกว้างใหญ่จะเป็นบริเวณของแก่งหินอันสวยงามกว้างประมาณ 200 ไร่ ชาวบ้านเรียกว่าแก่งหินงาม จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นเฉพาะช่วงหน้าร้อนเท่านั้น ซึ่งก้อนหินก็จะมีรูปทรงประหลาดสวยงาม มีริ้วและลวดลายอันเกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำโขงที่ยังคงคมชัด สดใหม่ มีทั้งแก่งหิน อ่างน้ำเล็ก ๆ ลานหินกว้าง สลับกันไป ทำให้ที่นี่เป็น “มินิแกรนด์แคนยอน” ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเมืองไทย
หาดชมดาว อุบลราชธานี อย่าตามมาเที่ยวนะถ้ายังไม่ได้อ่าน 14 ข้อนี้

3. ละลุ จังหวัดสระแก้ว
ประติมากรรมทางธรรมชาติที่สายน้ำ ลม และฝนกัดกร่อนดินแดงจนกลายเป็นรูปทรงต่าง ๆ นานาแห่งนี้ตั้งอยู่ที่บ้านเนินขามและบ้านคลองยาง ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทางธรณีที่เกิดจากการยุบตัวหรือพังทลายของดิน ทั้งสายฝน กระแสลมพัดกระหน่ำผ่านช่วงเวลาอันยาวนาน

ดินที่แข็งจะคงอยู่ในขณะที่ดินอ่อนก็จะพังทลายและถูกกัดกร่อนลงไปเกิดเป็นแท่งหินเป็นรูปร่างลักษณะแตกต่างกัน มองคล้ายกำแพงเมืองหรือเสาหิน จึงเป็นที่มาของชื่อ “ละลุ” ที่แปลมาจากภาษาเขมรว่า “ทะลุ” อีกทั้งในทุก ๆ ปีจะเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยตามแต่พลังลมและฝนจะสร้างสรรค์ด้วย

4. ทุ่งหญ้าสีทอง ณ ดอยม่อนจอง จังหวัดเชียงใหม่
อีกหนึ่งยอดดอยที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ด้วยมีลักษณะของยอดดอยที่เป็นเอกลักษณ์ ในลักษณะจั่วสามเหลี่ยม ภาษาเหนือเรียกว่า “จ๋อง” เมื่อรวมกับคำว่า “ม่อน” ที่แปลว่า “ดอย” จึงกลายมาเป็นม่อนจอง ดอยแห่งนี้ตั้งอยู่บนทิวเขาถนนธงชัย มีพื้นที่ครอบคุลมทั้งในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอสามเงา จังหวัดตาก ความตื่นตาตื่นใจของม่อนจอง ก็คือ ทางเดินเล็ก ๆ แคบ ๆ ที่เป็นเส้นทางยาวที่เดินไปสู่ยอดเขา เรียกว่า “หัวสิงห์” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับหัวสิงห์ โดยที่จุดนี้มีความสูงประมาณ 1,929 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

ความพิเศษอยู่ที่ในช่วงฤดูหนาว เพราะทุ่งหญ้าทั่วบริเวณจะแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเหลืองอร่าม อ๊ะ ๆ ความงามของดอยม่อนจองยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะที่แห่งนี้ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่อีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก Doimonjong ดอยม่อนจอง-นำเที่ยวโดยชุมชน

5. หุบป่าตาด จังหวัดอุทัยธานี
หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันซีนของไทยที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ตั้งอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ไฮไลต์สำคัญของการมาเที่ยวที่หุบป่าตาด นั่นคือการได้เห็น “ต้นตาด” พืชตระกูลปาล์มดึกดำบรรพ์ที่พบมากในบริเวณหุบเขาหินปูนแห่งนี้ และ “กิ้งกือมังกรสีชมพู” สัตว์หายากของโลกที่สามารถพบเห็นได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ถ้ามาช่วงฤดูฝนจะพบเห็นได้มากกว่าช่วงอื่น โดยในระยะทางประมาณ 40 เมตร ของถ้ำจะมืดสนิท ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเที่ยวที่หุบป่าตาดควรพกไฟฉายติดตัวมาด้วย