เที่ยวกางเต้นท์ที่ไหนดีกับ ที่เทียวปลายฝนต้นหนาว เที่ยวกางเต้นท์ที่ไหนดี ? ปลายฝนต้นหนาว อากาศดีๆ แบบนี้ เหมาะที่จะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้ แล้วออกเดินทางไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด นอนกางเต้นท์ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ถูกโอบล้อมด้วยสายหมอก พักผ่อนหย่อนใจกันก่อนสิ้นปี ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เที่ยวอุทยานแห่งชาติ จุดกางเต้นท์สำหรับมือใหม่ หรือจะบุกป่าฝ่าดงอย่างนักผจญภัย เราได้รวบรวม 7 สถานที่เที่ยวกางเต๊นท์ สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหนดี ที่ทำให้วันหยุดพักผ่อนของคุณ ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

1. ดอยเสมอดาว, จังหวัดน่าน

ดอยในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน จุดชมดาวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ดาวนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าอยู่ใกล้ราวกับว่าสามารถเอื้อมมือไปจับต้องได้ สมกับชื่อ “ดอยเสมอดาว” สถานที่แห่งนี้เป็นขวัญใจตากล้องหลายคนที่ตามล่าทางช้างเผือก การเดินทางขึ้นไปไม่ยากลำบากสามารถหารถรับส่งได้ง่ายเนื่องจากเป็นแนวสันเขาที่ไม่สูงมากนัก อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ถือเป็นจุดกางเต้นท์ที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนที่สุด นอกจากความงดงามยามค่ำคืนแล้ว ยังให้คุณดื่มด่ำไปกับบรรยากาศยามเช้า ดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก เมื่อหมอกที่ปกคลุมค่อยๆ คลายตัว คุณจะได้พบกับทิวทัศน์ยอดเขาน้อยใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป พร้อมกับเส้นทางธรรมชาติด้านล่างที่ถูกตัดด้วยแม่น้ำน่าน

2. ภูทับเบิก, จังหวัดเพชรบูรณ์

เมื่อพูดถึงสถานที่กางเต้นท์ ที่เที่ยวภูเขาในช่วงปลายฝนต้นหนาว คงไม่พ้น “ภูทับเบิก” ดินแดนแห่งสายหมอก สถานที่ยอดฮิตที่หลายๆ คนต้องนึกถึง จุดสูงสุดของเมืองเพชรบูรณ์ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาธรรมชาติอันเขียวชอุ่ม สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับสวรรค์บนดิน พลาดไม่ได้กับไร่กะหล่ำปลีที่จะออกผลผลิตในช่วงนี้เดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน เรียกได้ว่าเป็นแหล่งผลิตกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ อีกทั้งลานกางเต้นท์มากมาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟและร้านขายของ ทำให้การมาพักผ่อนของคุณไม่ยากลำบาก

3. ผาเก็บตะวัน, จังหวัดนครราชสีมา

แบ่งเขตระหว่างจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครราชสีมา อำเภอวังน้ำเขียว อยู่ในอุทยานแห่งชาติทับลาน นักท่องเที่ยวนิยมมากางเต้นท์สัมผัสกับธรรมชาติและอากาศที่เย็นสดชื่น ยืนมองท้องฟ้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยดวงตะวันที่กำลังขึ้นยามเช้าและค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปในช่วงเย็น สิ่งที่พลาดไม่ได้ถ้ามาผาเก็บตะวัน คือ การปลูกต้นไม้ลอยฟ้าด้วย ‘ง่ามยิงลูกมะค่า’ ลักษณะเป็นหนังสติ๊ก ใช้ยิงเมล็ดพันธุ์ลงไปที่หุบเขา นอกจากจะได้เที่ยวพักผ่อนแล้วยังช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติอีกด้วย

4. มอหินขาว จังหวัดชัยภูมิ

ที่เที่ยวอุทยานแห่งชาติภูแลนคา เต็มไปด้วยเสาหินปฏิมากรรมที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ที่กระจายไปตามจุดต่างๆ ลักษณะเป็นหินทรายสีขาวและหินนานาชนิด ซึ่งเสาหินที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี่คือ ‘เสาหิน 5 ต้น’ เสาหินที่เรียงตัวกันเป็นกลุ่มดูสวยงามแปลกตา และยังมีกลุ่มเสาหินอื่นๆ เช่น กลุ่มหินโขลงช้าง หินที่มีลักษณะคล้ายรองเท้าบูทและหินที่คล้ายกับเจดีย์ เป็นต้น แต่ที่แห่งนี้ไม่มีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ผู้ที่สนใจสามารถนำเต้นท์มากางเพื่อค้างแรมได้ เพื่ออยู่ชมบรรยากาศสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่และจุดชมวิวผาหัวนาค ถือเป็นจุดกางเต้นท์ที่สงบเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีชีวิตที่วุ่นวาย

5. ภูกระดึง, จังหวัดเลย

ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง” แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมอย่างมากแม้จะต้องใช้เวลาเดินเท้า 4-5 ชั่วโมงก็ตาม แต่คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับไม้นานาพรรณ รวมถึงสัตว์ป่าหลากหลายชนิดตามเส้นทางเดิน น้ำตก หน้าผาและทุ่งหญ้า ด้วยอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรยากาศปลายฝนต้นหนาวจะดีเป็นพิเศษ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องลำบากเพราะมีร้านค้าขายของและสิ่งอำนวยความสะดวกหลายจุด อีกทั้งยังมีบริการช่วยหาบของสัมภาระ อาจจะต้องวัดใจในช่วงท้ายก่อนถึงยอด เพราะมีการปีนป่ายต้องระมัดระวัง แต่เชื่อว่าถ้าคุณขึ้นไปแล้วจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

6. ดอยฟ้าห่มปก, จังหวัดเชียงใหม่

ดอยฟ้าห่มปกหรือดอยผ้าห่มปก ยอดดอยที่มีความสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย รองลงมาจากดอยอินทนนท์ อีกหนึ่งจุดกางเต้นท์ที่นักผจญภัยต้องไปพิชิตให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยทะเลหมอกที่ปกคลุมอยู่ตามหมู่เขา นอกจากนั้นยังสามารถเห็นดอยอื่นๆ รอบข้างอีกด้วย อย่างดอยอ่างขางและดอยหลวงเชียงดาว เป็นต้น เต็มอิ่มไปกับการอาบน้ำแร่ อบไอน้ำ ปล่อยกายและใจผ่อนคลายไปกับบ่อน้ำพุร้อนฝาง น้ำพุธรรมชาติอุณหภูมิประมาณ 40-88 องศา หรือสายลุยจะเดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ ถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ หรือส่องสัตว์ก็ได้เช่นเดียวกัน

7. เขาช้างเผือก, กาญจนบุรี

ฟิตร่างกายและเตรียมใจให้พร้อม หลายคนเฝ้ารอวันเพื่อไปพิชิตเขาช้างเผือกในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ที่เปิดให้คนเข้าไปไม่กี่เดือนต่อปี ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนมกราคม จำกัดนักเดินทาง 60 คนต่อวัน มีบริการช่วยหาบของสัมภาระ เดินไปตามเส้นทางป่าสีเขียวชอุ่มประมาณ 6 ชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ต้องผ่านจุดที่เรียกว่า ‘สันคมมีด’ สันเขาที่ผสมผสานระหว่างความงดงามและความหวาดเสียวเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการมาเยือน เมื่อถึงจุดหมายธรรมชาติรอบตัวจะทำให้คุณลืมความเหนื่อยที่มี แล้วตื่นตาตื่นใจไปกับทิวทัศน์บนเขาช้างเผือกที่มองได้รอบทิศ 360 องศา

และนี่คือ 7 สถานที่ท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวกางเต้นท์ที่ไหนดี หลีกหนีชีวิตในเมืองที่มีแต่ความวุ่นวาย มาสงบจิตสงบใจให้ธรรมชาติบำบัด อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะไปเที่ยวธรรมชาติหรือกางเต้นท์ที่สถานที่ใด อย่าลืมหรือทิ้งสิ่งของและรับผิดชอบขยะที่ตนเองนำมากลับไปด้วย เพื่อเป็นการรักษาธรรมชาติให้สวยงามและคงอยู่กับเราต่อไป