ท่องเที่ยว “ผาช่อ” ประติมากรรมธรรมชาติ ที่ต้องไปเยือนซักครั้ง ไกด์นำทางพาทุกคนไปเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวรอบๆดอยอินทนนท์ กันบ้าง จะได้เป็นแนวทางในการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวๆปลายปีกันค่ะ ทริปเดินทางวันหยุดของคุณผู้อ่านจะได้ครบรสชาติ ทั้งสู้ความหนาวเหน็บ บนยอดดอยอินทนนท์ และ พิชิตเส้นทางดึกดำบรรพ์กันค่ะ

ถ้าคุณผู้อ่านมีจุดมุ่งหมายมาเที่ยวดอยอินทนนท์แล้วล่ะก็ สามารถแวะเช็คอินที่ผาช่อได้เลยค่ะ เพราะใช้เส้นทางหลวงหมายเลข108 เช่นเดียวกัน ก่อนถึงอำเภอ จอมทองเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้นเอง ตอนที่ผู้เขียนได้เดินทางไปสัมผัสที่นี่ครั้งแรก อดแปลกใจไม่ได้ว่า สิ่งที่เราเห็นเกิดจากฝีมือของมนุษย์หรือเกิดจากธรรมชาติ เพราะมันอลังการมากเลยทีเดียวแหงนจนคอตั้งบ่าถึงเก็บภาพความงดงามของสิ่งประดิษย์ที่ถูกสร้างโดยธรรมชาติ ผ่านวันเวลามากี่มากน้อยเท่าไหร่ ถึงเกิดสิ่งมหัศจรรย์นี้ขึ้นมาได้ และตั้งอยู่กลางป่าเขา ที่เราแทบจะไม่รู้ถึงประวัติศาสตร์ของบริเวณนี้มาก่อนเลย จะได้รู้ก็ได้มาเยือนถึงที่นี่ล่ะค่ะ เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานจะเป็นผู้ถ่ายทอดข้อมูลคร่าวๆให้เราได้ฟังกัน

ผาช่อ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของลมฝน จนทำให้แผ่นดินที่คาดว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่แห่งนี้เคยเป็นทางไหลของแม่น้ำปิงมาก่อน จนแม่น้ำปิงเปลี่ยนทิศทางการไหลไปทางอื่น บริเวณนี้จึงถูกยกตัวสูงขึ้นผ่านการทับถมของตะกอนแม่น้ำก่อตัวเป็นชั้นๆผ่านการเวลาเป็นร้อยๆปีจนกลายเป็นหน้าผาและเสาหินที่ตั้งตระหง่านรูปร่างแปลกตา ราวผืนผ้าม่านผืนใหญ่ๆพริ้วไปตามแรงลมเลยล่ะค่ะ

พอเดินทางถึงหน่วยพิทักษ์อุทยาน ก็ต้องไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะนำทางเข้าไป ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ได้อธิบายถึงที่มาที่ไปให้เราฟังว่า ผาช่อ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของลมฝน จนทำให้แผ่นดินที่คาดว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่แห่งนี้เคยเป็นทางไหลของแม่น้ำปิงมาก่อน จนแม่น้ำปิงเปลี่ยนทิศทางการไหลไปทางอื่น บริเวณนี้จึงถูกยกตัวสูงขึ้นผ่านการทับถมของตะกอนแม่น้ำก่อตัวเป็นชั้นๆผ่านการเวลาเป็นร้อยๆปีจนกลายเป็นหน้าผาและเสาหินที่ตั้งตระหง่านรูปร่างแปลกตา ราวผืนผ้าม่านผืนใหญ่ๆพริ้วไปตามแรงลมเลยล่ะค่ะ เราใช้การเดินเท้าเข้าไปประมาณ 400 เมตร ผ่านเนินเขาขนาดเล็กไปเรื่อยๆใช้เวลาเดินโดยประมาณ 1ชั่วโมง ระหว่างทางเดินก่อนจะถึงผาช่อและกิ่วเสือเต้นนั้น เราอาศัยเดินตามเส้นทางน้ำเก่า เราจะสังเกตุเห็นถึงผนังตามแนวทางเดิน จะมีการทับถมของชั้นดินสลับหินและเปลือกหอยเป็นชั้นๆ ตลอดเส้นทาง มันยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนเราได้เข้าไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์กันเลยในทริปนี้ และตลอดเส้นทางจะมีไม้ป่า ดอกไม้ป่า และต้นกูด ไม้ดึกดำบรรพ์ เรียงรายไปตลอดเส้นทาง ยิ่งทำให้เราได้รู้สึกถึงการผจญภัยในป่าย้อนยุคเข้าไปอีก ได้อารมณ์ไปอีกแบบ เส้นทางเดินเท้ามีการปีนป่ายโขดหินขนาดใหญ่บ้างเป็นบางช่วงมีมุดรอดผ่านต้นไม้ใหญ่ๆที่ล้มขวางทางเดินบ้างก็ได้อรรถรสดีค่ะ ผู้เขียนอยากแนะนำให้ผู้อ่านที่ต้องการเดินทางเที่ยวชมผาช่อ สวมใส่รองเท้าผ้าใบ เพราะเนื่องจากเส้นทางเป็นทางน้ำเก่า ย่อมมีกรวดและหินขนาดเล็กใหญ่ ปนเปกันไปจึงทำให้อาจเดินไม่สะดวกเท่าไหร่ และที่สำคัญอย่าลืมพกพาน้ำดื่มขวดเล็กไปก็จะดีมากค่ะ เหมือนระยะทางมันจะสั้นๆแต่ก็เล่นทำเอาคนเดินเท้ากระหายน้ำไม่น้อยเลยค่ะ ด้วยอากาศและการต้องปีนป่ายและขึ้นบันได อาจทำให้ใช้แรงอยู่บ้าง แต่รับรองว่าถ้าได้ไปเยือนซักครั้ง จะรู้สึกถึงความอลังการเว่อร์วังของธรรมชาติ ที่สวยและน่าตื่นเต้นอีกที่หนึ่งเลยค่ะ

ช่วงปลายฝนต้นหนาวประมาณเดือน ตุลาคมจนถึงธันวาคมเป็นช่วงที่เหมาะสมในการท่องเที่ยวผาช่อมาก เพราะด้วยอากาศและความชื้น จะยิ่งทำให้ มีต้นเฟิร์น ต้นมอส ขึ้นปกคลุมแนวก้อนหิน ยิ่งได้ภาพที่สวยเพิ่มขึ้นไปอีกค่ะ ถ้าอย่างไรแล้ว ผาช่อก็เป็นอีกจุดเช็คอินจุดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับทริปท่องเที่ยวปลายปีอีกทริปค่ะ ใช้เวลาไม่มากสามารถแวะและใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ ได้เก็บภาพความงดงามกลับไปอวดเพื่อนๆได้แล้วค่ะ