“อุทัยธานี” ถ้าเอ่ยชวนเพื่อนไปเที่ยว เพื่อนคงงงว่า เที่ยวอะไร เที่ยวที่ไหน มีอะไรให้เที่ยวอ่ะงง บอกชื่อผิดหรือเปล่า เพราะเอาเข้าจริงแล้ว อุทัยธานีไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก แต่แล้วยังไงหล่ะ ที่ๆคนอื่นไปเที่ยวเยอะจนช้ำเรามันสายอินดี้ ไม่อยากเที่ยวตามใคร ขอลองไปที่ใหม่ๆบ้าง อารมณ์ชอบบุกเบิก และอุทัยธานีเป็น จ.หวัดที่เลือกปักหมุดแนะนำในครั้งนี้ เพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ เดินทางประมาณ 3 ชม.ก็ถึง
มาเข้าเรื่องกันเลย ว่าอุทัยธานีมีอะไรบ้าง ไปถึงบ้านเขาเมืองเขาเราต้องไปไหว้พระเอาฤกษ์ เอาชัยกันดีกว่า เลยจะพาไปที่ ‘วัดสังกัสรัตนคีรี’ หากเดินขึ้นบันได 499 ขั้นจะถึงจุดชมวิวที่ที่มองเห็นเมืองอุทัยสวยไปอีกแบบ แต่แอบบอกว่าถ้าเดินไม่ไหวก็นั่งรถขึ้นมาเถอะค่ะ 555555
ดูวิวเสร็จแล้วก็เข้าไปสักการะพระพุทธรูปในวัดกันค่ะ ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองอุทัยฯมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีวิหารพระโพธิสัตว์กวนอิม และ ศาลารัชมังคลาภิเษก ที่รวบรวมพระพุทธรูปในยุคต่างๆไว้ และยังมีมณฑปที่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองด้วยอย่าลืมตีระฆัง 100 ปี หรือระฆังศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่นะคะ อยู่ด้านหน้ามณฑป สร้างตั้งแต่สมัยร.5 เลยทีเดียว เขาบอกตีแล้วเป็นสิริมงคลกับชีวิตอีกอย่าง คนอุทัยฯเขายกให้ยอดเขานี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 (ต.ค.) ของทุกปี จะมีงานตักบาตรเทโวจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ใครสนใจก็มาดูกันได้
เปิดด้วยแม่น้ำสะแกกรัง ก็ต้องพาไปเที่ยวริมน้ำสักหน่อย ‘เรือนแพบนแม่น้ำสะแกกรัง’ ปัจจุบันมีเรือนแพกว่า 200 หลังอยู่บนแม่น้ำสะแกกรัง ทุกหลังมีบ้านเลขที่+ทะเบียนรับรองการอยู่อาศัยค่ะ ชาวบ้านบริเวณนี้ก็จะทำประมงเลี้ยงปลาแรด ปลาเทโพ ปลูกต้นเตย ถ้ามาตอนเช้าก็จะทันได้เห็นบรรยากศวิถีชีวิตคนอุทัยที่อาศัยริมน้ำ ตื่นมาตักบาตร โดยที่เราจะได้เห็นพระสงฆ์พายเรือบิณฑบาตรด้วยแหละ
วัดอุโปสถาราม หรือ วัดโบสถ์ วัดนี้เป็นศาสนสถานเก่าแก่อยู่คู่เมืองอุทัยฯมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นค่ะ จุดเด่นคือมณฑปแปดเหลี่ยมด้านหน้า และ ภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านในที่บอกเล่าประวัติของพระพุทธองค์ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน + ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 5 องค์ เหมาะแก่คนที่ชอบอะไรแนวๆย้อนยุค ประวัติศาสตร์ จริงๆนะ
ท่องเที่ยวอุทัยเมืองริมน้ำสะแกกรัง ชมธรรมชาติแสนสงบ
มาเปลี่ยนเป็นการช็อปปิ้งกันบ้าง ถนนคนเดิน ตรอกโรงยา สิ่งที่ต้องรู้คือถนนคนเดินที่นี่มีเฉพาะวันเสาร์ค่ะ แล้วเขาเปิด-ปิดเร็ว เปิดบ่ายสามกว่าๆ 2 ทุ่มก็ปิดแล้ว เพราะฉะนั้นรีบไปเดินนะ แต่ก่อนตรอกโรงยาเป็นแหล่งสูบและซื้อขายฝิ่น จนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ประกาศให้ฝิ่นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตรอกนี้จึงถูกปิด และเพิ่งกลับมามีชีวิตอีกครั้งเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาจุดเช็คอินของที่นี่คือ บ้านนกเขา ซึ่งเป็นร้านค้าและพิพิธภัณฑ์ของเก่า มีทั้งเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ งานอาร์ตที่เจ้าของเขาสะสมมานานมาก เปิดให้พวกเราเข้าไปชมเข้าชมได้แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย ใครสนใจชิ้นไหนก็สอบถามราคาเขาได้เลย
อันที่จริงอุทัยมีของเก่าๆให้เราได้ดูเยอะนะ นอกจากบ้านนกเขาแล้วยังมี บ้านจงรัก ใกล้กันมี ‘ร้านหนังสือกาลครั้งหนึ่ง’ ร้านนี้มีหนังสือหายากหลายเล่ม ขายโปสการ์ด + ของที่ระลึกอื่นๆด้วย
แต่ใช่ว่าที่นี่จะมีแต่ของโบราณนะ คาเฟ่ที่กำลังฮิตก็มีเหมือนกัน ‘ร้านกอบกาแฟ’ อยู่แถวตลาดพัฒนา เปิดตั้งแต่ 7.00 – 18.00 น. ร้านไม่เล็กไม่ใหญ่ มีที่นั่งทั้งในและนอกร้าน เมนูเครื่องดื่มราคา 35 – 70 บ.
ไปต่อกันที่ร้าน I am Cafe ร้านนี้อยู่บนถนนรักการดีค่ะ จากกอบกาแฟเดินมา 5 นาทีก็ถึงแล้ว ชอบความชิคของร้าน ตกแต่งแบบเหมือนจะไม่เข้ากัน แต่เข้ากัน ฮันนี่โทสต์ราคา 98 บ.ซึ่ง เป็นราคาที่หายากมากในกรุงเทพฯ แถมโทสต์ยังอร่อย หอมกลิ่นน้ำผึ้ง แบบไม่ต้องราดเพิ่มแล้ว ถึงร้านจะอยู่ในทำเลที่รถวิ่งผ่านๆ แต่บอกได้เลยค่ะว่าควรแวะ! ร้านนี้เปิด 7.30 – 18.00 น.
ก่อนไปบ้านสวนจันทิตาเราขอกลับเข้าเมืองไปกินก๋วยเตี๋ยวอีกร้านค่ะ ร้านนี้ชื่อ ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ท้าพิสูจน์ อยู่ตรงกลางระหว่างร้านกาแฟป้าทองกับร้านข้าวมันไก่โกตี๋ จริงๆที่อุทัยธานีของกินเยอะมาก อยู่โซนๆเดียวกัน หาของกินได้ไม่ยากเลย
มาปิดท้ายที่พักที่เหมาะแก่การไปพักผ่อนจริงๆ กับบ้านสวนจันทิตา โฮมสเตย์ที่เราเกริ่นไปในตอนแรก โดยที่นี่การออกแบบคือการรักษาต้นไม้ทุกต้นที่คุณลุงสานเจ้าของที่นี่ตั้งใจปลูก โดยสถาปนิกจึงเลือกใช้การวางกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 2.40 เมตร จํานวน 5 กล่อง เข้าด้วยกันเป็นรูปเครื่องหมายบวก ให้ต้นไม้สามารถแทรกตัวเติบโตได้อย่างอิสระ สร้างร่มเงารอบ ๆ พื้นที่พักผ่อนอย่างกลมกลืน
แค่นึกภาพในตอนเช้าที่ได้ตื่นมาเจอกับธรรมชาติที่สดชื่น แสงแดดรำไรส่องลอดเข้ามากระทบหน้า ของกินอร่อยราคาไม่แรง แถมยังมีแหล่งที่ให้เราได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ทำให้ตอนนี้อยากจะบึ่งรถไปอุทัยธานีมันให้รู้แล้วรู้รอด