ที่พักโฮมสเตย์ ที่ชื่อว่า เซเว่นกลางวิว บ้านจ่าโบ่ ธรรมชาติบำบัดที่ใครหลายคนต้องการ มาเถอะอยากบอกว่ามันดี๊ดี ^_^ จากสถานการณ์โควิด เมื่อมีระยะผ่อนปรนเปิดการท่องเที่ยว และมีวันหยุดยาวด้วยแล้วนั้น เราก็ลุยสิคร๊าบ รออะไร GO GO GO !!!! การเดินทางครั้งนี้ เริ่มต้นจากกรุงเทพ(วิภาวดี) ด้วยรถโดยสาร “สมบัติทัวร์” เวลา 19.30น. มาถึงที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงใหม่ อาเขต3 เวลา 04.30น.

หลังจากนั้น เราเดินทางต่อด้วยการเช่ารถที่เชียงใหม่ ในราคา 700 บาท/วัน ระยะทางจากอาเขต3 สู่บ้านจ่าโบ่นั้นระยะทางทั้งหมด(ตามGPS) 3 ชั่วโมง 59 นาที ขับรถไปตามถนน หมายเลข 1095 ถนนเส้นนี้ลาดยางทั้งหมด ถนนดีเกือบตลอดเส้นทาง ส่วนความโค้งนั้นไม่ต้องพูดถึง มีทุกรูปแบบ ยังไงก็ควรใช้เกียร์และขับด้วยความระมัดระวังนะจ๊ะ เส้นทางนี้จะต้องวิ่งผ่านเข้าอำเภอปาย ซึ่งสองข้างทางนั้นในช่วง GREEN SEASON แบบนี้มันฟินสุด ทุกอย่างมันเขียวชะอุ่ม ชุ่มช่ำหัวใจ ระหว่างทางไป หมู่บ้านจ่าโบ่ อาจจะแวะเที่ยวในปายก่อนก็ไม่ว่ากันจ้า
ป้ายหน้าหมู่บ้านถึงแล้วจ้า!!! หมู่บ้านจ่าโบ่ ชุมชนเล็กที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่ชุ่มช่ำใจในหน้าฝนนี้ ในหมู่บ้านจะมีลานกางเต๊นท์ และโฮมสเตย์ของชาวบ้านให้เราได้เลือกพักอยุ่หลายหลัง

วันนี้เราเข้าพักที่โฮมสเตย์ในหมู่บ้าน ที่ชื่อว่า เซเว่นกลางวิว ลูกค้าที่เข้าพักที่นี่ สามารถนำรถมาจอดบริเวณฝั่งตรงข้ามกับหน้าที่พักได้เลยจ้า ตรงด้านหน้าที่พักจะเป็นร้านขายของชำ คุณลุงและคุณป้าที่นี่น่ารักเป็นกันเองมาก และถ้าใครสนใจจะขึ้น “ภูผาหมอก” ไปดูหมอกสวยๆ สามารถแจ้งคุณลุงได้ ในราคาคนละ 100 บาท คุณลุงจะเป็นคนพาไป ส่วนเราตอนแรกติดต่อคุณลุงไว้ แต่พอเช้าลุงเดินมาบอกว่าหมอกมีน้อยเพราะเมื่อคืนฝนไม่ตก ขึ้นไปไม่คุ้ม ก็เลยอดไปตามระเบียบ เสียดายหนักมาก T_T
วิวด้านบนที่พัก

บริเวณจุดชมวิว ระเบียงด้านบน สามารถไปนั้งชมบรรยากาศได้ หน้าฝนหมอกอาจจะไม่อลังการ แต่ภาพที่ได้มันเย็นสบายตา อากาศดี ชื่นใจสุดๆ
คำเตือน!!! ระวังคุณจะหลงรัก ฤดูฝน โดยไม่รู้ตัวแบบเรานะ ^_^

จุดชมวิวด้านบน เซเว่นกลางวิววิวภาพจากจุดชมวิวด้านบน

อาหารเย็น: ก่อนเข้าพักคุณป้าจะถามเราว่า รับอาหารเย็นไหม ถ้ารับก็มีค่าอาหารคนละ100 บาท กับข้าวก็จะเป็นอาหารง่ายๆ ไข่เจียว ต้มจืด ผัดถั่ว แต่ถ้าไม่อิ่มสามารถบอกขอเพิ่มได้นะ

หลังอาหารเย็น เราก็ออกมาเก็บบรรยากาศภาพรอบๆหมู่บ้านกันสักหน่อย เดินมาเรื่อยก็มาเจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาจ่าโบ่ ที่ใครๆต่างพูดว่า ก๋วยเตี๋ยวหลักสิบวิวหลักล้าน ไว้เดี๋ยวเช้าเราจะมาลองชิมกัน

ร้านปิด

ตอนเย็นๆ

เช้าวันใหม่ : เรารีบตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ก็พบกับกลุ่มหมอกฤดูฝนบาง อากาศเย็นครึ้มฟ้าครึ้มฝน แต่ไม่ตกสักที เราเดินเล่นในหมู่บ้านกันอีกครั้ง เช้านี้ได้เห็นผู้คนต่างทยอยออกมาเก็บบรรยากาศในหมู่บ้านกันอย่างคึกคัก บริเวณข้างร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา จะมีร้านกาแฟห้อยขา วิวสวยพอๆกับร้านก๋วยเตี๋ยวเลย ที่นี่มีโฮมสเตย์ด้วยนะ
เช้า

รักจ่าโบ่

เช้า

บ้านเรือนของหมู่บ้านจ่าโบ่ เกือบทั้งหมดจะเป็นไม้ แต่ละบ้านจะมีเครืองรางคล้ายลักษณะไม้ไผ่มาสานๆไขว้กันไปมา ติดอยู่บริเวณหน้าบ้าน ลองถามคุณป้าแถวนั้น แกบอกว่าเป็นเหมือนสัญลักษณ์กันสิ่งไม่ดี ไม่ให้เข้ามาในบ้าน ส่วนคุณยายบางคนก็ฟังและพูดไทยไม่ได้ พอเข้าไปทักทาย ก็ส่งรอยยิ้มน่ารักกลับมา เดินผ่านไปมาเราโบกมือให้ แกก็โบกไม้โบกมือกลับ เป็นบรรยากาศที่น่ารักมาก

บ้าน

บ้าน

ร้านก๋วยเตี๋ยว: ที่นี้ก็มาถึง!!! สิ่งที่มาหมู่บ้านจ่าโบ่แล้วพลาดไม่ได้ นั่นก็คือก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่ ก๋วยเตี๋ยวหลักสิบวิวหลักล้าน ใครๆที่มาแล้วก็ต้องเป็นอันเช็คอินโชว์ความงามของวิวที่ร้านนี้แน่นอน ซึ่งในส่วนของตรงนี้ก็จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา และก็มีร้านขายน้ำขายกาฟอยู่ในพื้นที่เดียวกันด้วยนะ เมื่อเข้าไปในร้านก็สั่งก๋วยเตี๋ยวตามชอบ แม่ค้าจะจดแล้วแจ้งคิวให้เรา พอทำเสร็จก็จะตะโกนแจ้งคิวเราให้ทราบ ถึงคนจะเยอะแต่ว่าทำไวมากนะ แป๊ปเดียวก็ได้กินแล้วจ้า
กา

ร้านเตี๋ยวร้าน

ร้านและแล้วก๋วยเตี๋ยวเราก็มา เล็กต้มยำพิเศษ เยอะอยูน๊า ลูกชิ้นเพียบในราคาเพียง 40 บาท รสชาติโอเคเลยแหละ งั๊ม งั๊ม งั๊ม

ก๋วยเตี๋ยวก๋วยเตี๋ยว

ห้อยขาเกลี้ยงชาเขียวหลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ เราก็เดินกลับที่พัก เพื่อเดินทางไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงต่อ

ทางเดินที่พักและนี่คืออีกฤดูนึงที่ไม่ควรพลาด ใครว่าหน้าฝนไม่น่าเที่ยว มันจะมีเสน่ห์เฉพาะตัวของมัน ที่คุณอาจจะลืมไม่ลงเลยก็ได้ ลองมาเที่ยวกันในช่วง GREEN SEASON แล้วคุณจะหลงรักมัน ซึ่งแม่ฮ่องสอน “หมู่บ้านจ่าโบ่” ก็เป็นหนึ่งที่แนะนำนะ ทั้งบรรยากาศ ผู้คน มันจะทำให้คุณผ่อนคลาย แล้วกลับไปพร้อมกับประสบการ์ณและพลังชีวิต ที่จะทำให้คุณเดินหน้า ฝ่าฟัน กับสิ่งต่างๆที่ต้องเจอได้ อยากให้ทุกคนลองมาสัมผัส แล้วจะพบกับคำว่า GREEN SEASON ชื่นใจที่ได้มา