หนึ่งในเอกลักษณ์ของ เมืองกรุงเทพมหานคร คือ แม่น้ำเจ้าพระยา ในเส้นทางสายน้ำยักษ์ใหญ่ ยาวกว่า 372 กิโลเมตร นี้ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 600 ปี ตั้งแต่สมัยทวารวดี จนถึงยุครัตนโกสินทร์
เป็น สายโลหิตของประเทศ ที่หล่อเลี้ยง วิถีชีวิตของชาวไทยในด้านการเกษตร การประมงปศุสัตว์ ผลิตพลังงานไฟฟ้า เส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้า และอื่นๆ รวมถึงเป็นพื้นที่ ของการแสดงออกถึงวัฒนธรรมไทย และเป็นเส้นทางทัศนาจรท่องเที่ยวที่สำคัญ
ท่องเที่ยว ล่องเรือทางน้ำ สำรวจเมืองกรุง
ด้วยเรือด่วนเจ้าพระยา ที่หลีกหนีการจราจร ทางบก บนท้องถนน อันแสนวุ่นวายสู่เส้นทางเรือบนน้ำ ที่ให้ความสงบ และความงดงาม รายล้อม ด้วยสถาปัตยกรรมริมแม่น้ำ ที่สำคัญหลายแห่ง และได้รับการยอมรับจากชาวต่างชาติ ว่าเป็น ‘เวนิซแห่งโลกตะวันออก’ ที่หนึ่ง
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
วัดโพธิ์ เป็นวัด ตั้งต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมที่อยู่ใกล้เคียง กับพระบรมมหาราชวัง และวัดพระแก้ว สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ในชื่อวัดโพธาราม เป็นอารามหลวง ในสมัยกรุงธนบุรี และเป็นวัดประจำ รัชกาลที่หนึ่งสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งให้สถาปนาวัดใหม่
ซึ่งวัดโพธิ์แห่งนี้ เปรียบเหมือน มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประวัติศาสตร์ไทย ที่เป็นแหล่งรวมสรรพวิชาหลายแขนง ในสมัยโบราณจารึก ในศิลา เช่น ประวัติศาสตร์โบราณคดีวรรณกรรม การแพทย์ และตำราการนวดแผนโบราณ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษสืบทอด ต่อคนรุ่นหลัง มีพระนอนวัดโพธิ์ หรือพระพุทธไสยาสน์ ที่มีความยาวถึง 150 ฟุต และงดงามที่สุด แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ประดิษฐาน รวมถึงเป็นวัด ที่มีพระเจดีย์มากที่สุด จำนวน 99 องค์ มีมหาเจดีย์สี่รัชกาลขนาดใหญ่ อยู่ตั้งอยู่ด้านในพระวิหาร อีกทั้งมีการหล่อรูปยักษ์หน้าประตู เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์หอพระไตรปิฎก โดยทางองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ขึ้นทะเบียนวัดโพธิ์ แห่งนี้ เป็นมรดกความทรงจำโลก แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
สำหรับผู้ที่โดยสารทางเรือ สามารถใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา เพื่อมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือท่าช้าง ท่าเรือท่าเตียน ท่าเรือปากคลองตลาดและเดินเข้าประตูทางถนนท้ายวังได้
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
Temple of Dawn หรือ วัดที่ค้นหูชาวไทยในชื่อ วัดแจ้ง หรือ วัดอรุณ เดิมที แล้วมีชื่อว่า วัดมะกอก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่คู่บ้านเมืองไทยมาช้านาน มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ใน ปีพ.ศ. 2310
หลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงกอบกู้ กรุงศรีอยุธยาสำเร็จ ทรงมีพระราชประสงค์ จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรี จึงเสด็จกรีฑา ทัพล่องลง มาทางชลมารค ถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้ เมื่อเวลารุ่งอรุณ จึงทรงเปลี่ยน ชื่อ วัดมะกอกเป็น “วัดแจ้ง”
เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิต ที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้ เมื่อเวลาอรุณรุ่ง วัดแจ้ง นี้มีความสำคัญ เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต และพระบาง รวมถึงมีสถาปัตยกรรม ด้านในที่สวยงาม เช่น พระอุโบสถจัตุรมุขสูงใหญ่ และรูปปั้นพญายักษ์ สร้างไว้ที่หน้าประตู ตามความเชื่อในการปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีค่าด้านใน วัดแจ้ง เป็นวัดประจำรัชกาลที่สอง แห่งสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผู้ทรงพระราชทาน พระนามวัดใหม่ ว่า วัดอรุณราชธาราม และมีบูรณะการปฏิสังขรณ์ หลายอย่างทั้ง พระอาราม และพระปรางค์
วัดอรุณ จนถึงปัจจุบัน กลายเป็นวัดอรุณสีขาว ที่วิจิตรงดงามนักท่องเที่ยว สามารถนั่งเรือข้ามฟาก จากฝั่งท่าเตียนมาถึง วัดอรุณเพื่อเที่ยวชม และกราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในวัดไทยอันทรงคุณค่าแห่งนี้ได้
สวนสันติชัยปราการ
เป็นสวนสาธารณะแบบ Waterfront Park ซึ่งมีทัศนียภาพ ฉากหลังเป็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ช่วงปลายถนนพระอาทิตย์ สร้างขึ้นในวโรกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 6 รอบ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ใน ปี พ.ศ. 2542 และเป็น การบูรณะป้อมพระสุเมรุโบราณ สถานเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์
โดยการปรับภูมิทัศน์โดยรอบ ด้วยการสร้างสวนสาธารณะ เพื่อจัดงานประเพณีในโอกาสสำคัญต่างๆ และเป็น ที่ตั้งของพระที่นั่งสันติชัยปราการ นอกจากนี้ภายในสวนยังมีประติมากรรม ที่แสดงถึงวิถีชีวิตชุมชน บางลำพูและมีต้นบางลำพู เพียงไม่กี่ต้นสุดท้าย หลงเหลือปลูกไว้ ผู้สนใจสามารถเดินทาง จากท่าเรือแม่น้ำเจ้าพระยา มาขึ้นฝั่งที่ ท่าเรือพระอาทิตย์
พิพิธบางลำพู
เป็นศูนย์การเรียนรู้ เชิงวัฒนธรรม ที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน จากกรมศิลปากร ตั้งอยู่ใกล้ป้อมพระสุเมรุ มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เดิมเป็น เคหสถานของอดีตอธิบดีกรมการคลัง ในสมัยรัชกาลที่ 5
ต่อมา มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอาคารหลายครั้ง เป็นโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช หรือ โรงพิมพ์คุรุสภา จนมีการจัดทำขึ้นใหม่ โดยกรมธนารักษ์ เพื่อส่งเสริมพัฒนาชุมชนบางลำพู ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว บนเกาะรัตนโกสินทร์ ให้คนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเข้ามา ศึกษา พิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ใช้วิธีประยุกต์ การเล่าเรื่องเชิงประวัติศาสตร์ เข้าวิถีชีวิตของชาวบางลำพู แบบร่วมสมัย ซึ่งเหมาะกับทุกเพศทุกวัย มีนิทรรศการจัดแสดงบรรยายรายละเอียดข้อมูลถึง 7 ภาษา พร้อมทั้งมีการจัดทำอักษรเบรลล์ เพื่อบรรยาย แก่ผู้พิการทางสายตาด้วย อีกทั้งยังมีห้องสมุด ที่รวมหนังสือเก่าแก่อีกมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถเดินทาง โดยสารเรือ ได้โดยขึ้นฝั่งที่ ท่าเรือพระอาทิตย์
ล้ง 1919
ตั้งอยู่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ปลายสุดของถนนเชียงใหม่ ตรงข้ามกับตลาดน้อย เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่เป็นการผสมผสานศิลปะระหว่างไทย และจีน ซึ่งในประวัติศาสตร์ เคยเป็นท่าเรือกลไฟ “ฮวย จุ่ง ล้ง” ใช้เป็นพื้นที่โกดังสินค้า ในอดีตของตระกูลหวั่งหลี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ในช่วงยุค ที่การค้าระหว่างไทย-จีน เจริญรุ่งเรือง
ซึ่งนำมาบูรณะใหม่ ด้วยการใช้วัสดุที่ใกล้เคียง กับแบบเดิมมากที่สุด และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว ซึ่งประดิษฐาน อยู่คู่ที่นี่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง มีลานกิจกรรมกลางแจ้ง ในการจัดงานนิทรรศการต่างๆ ภาพจิตรกรรม บนฝาผนังโบราณ และมีสถานประกอบการร้านอาหาร ร้านจำหน่ายงาน ฝีมือศิลปะหัตถกรรม รวมถึงพิพิธภัณฑ์ในประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ไทยจีนอีกด้วย เดินทางได้โดยเรือด่วนเจ้าพระยา มาขึ้น ฝั่งที่ท่าเรือราชวงศ์ และ ข้ามฟากมาที่ท่าดินแดง หรือลงเรือที่ ท่าเรือสี่พระยา และข้ามฟากมายัง ท่าเรือคลองสาน ได้เช่นกัน
Asiatique The Riverfront
ศูนย์การค้า ขนาดมโฬารริมแม่น้ำแห่งนี้ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่ง สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริจะพัฒนาประเทศไทย ให้เจริญเทียบ เท่านานาอารยประเทศในยุโรป จึงเจริญสัมพันธไมตรี กับราชอาณาจักรเดนมาร์ก ให้เข้ามาเปิด บริษัท อีสท์ เอเชียติก ซึ่งเป็น บริษัท เดินเรือสัญชาติเดนมาร์ก สร้างท่าเรือและโกดังขนส่งสินค้า และเป็นจุดเริ่มต้นการค้าสากล ระหว่างสยามกับทวีปยุโรป จนถึงขยายกิจการ เดินเรือสมุทร
ปัจจุบันได้มีโครงการปรับปรุง ให้ทันสมัย และคงเอกลักษณ์ สไตล์เดิมมีกลิ่นไอ ของยุโรปผสมอยู่ เป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพแหล่งรวมย่านการค้ามากมาย รวมถึงจุดสำคัญอย่าง หอนาฬิกา ชิงช้าสวรรค์ Asiatique Sky โรงละครโจหลุยส์เธียเตอร์ และ โรงละครคาลิปโซ คาบาเร สามารถเดินทาง โดยการลงเรือ ที่ท่าเรือสาทร และใช้บริการ เรือโดยสารฟรี ของทาง Asiatique
ICONSIAM
โครงการพัฒนาพื้นที่ เชิงพาณิชย์แบบประสม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดจากการร่วมทุนสร้างของพันธมิตรภาคเอกชน ระหว่าง สยามพิวรรธน์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท Magnolia QualityDevelopment Corporation ด้วย มูลค่ามหาศาลกว่า 54,000 ล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์อสังหาริมทรัพย์ของไทย
เป็นอภิมหาโครงการของประเทศไทย ที่ครบสูตรของความอลังการทันสมัย และวิจิตรงดงามของไทย ไว้ในที่เดียวกัน ภายใต้แนวคิด “เมืองแห่งความรุ่งโรจน์อันเป็นนิรันดร์” ภายใน ประกอบด้วย ศูนย์การค้าไอคอนสยาม และไอคอนลักซ์ 2 อาคารยักษ์ใหญ่ เชื่อมติดกัน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจ จากการสักการะบูชาแม่น้ำ ของคนไทยในการออกแบบ จากรูปทรงของกระทงบายศรี และผ้าสไบ
เป็นพื้นที่ของ ห้างสรรพสินค้า ชั้นนำระดับโลก ศูนย์ประชุม โรงภาพยนตร์ ศูนย์กีฬา พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ไทย รวมถึงอาคารที่พักคอนโด และรีสอร์ท โรงแรม ส่วนพิเศษอีกอย่าง คือลานกิจกรรม River Park ซึ่งเป็น ทางเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา มีความยาวกว่า 500 เมตร ซึ่งมี การจัดแสดงระบำน้ำพุสื่อผสม ที่มีความยาวมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นกัน เพื่อเป็นจุดหมายแห่งการเดินทาง ที่สำคัญอีกแห่งในโลก นักท่องเที่ยว ที่มาทางเรือ สามารถลง เรือ shuttle boat ได้จากท่าเรือสาทร ท่าเรือ กกสท. ท่าเรือสี่พระยา ท่าเรือราชวงศ์ ซึ่งเปิดให้บริการโดยสารฟรีถึงที่หมาย
สะพานพระรามแปด
คือสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างบริเวณ ปลายถนนอรุณอัมรินทร์ ฝั่งธนบุรี กับปลายถนนวิสุทธิกษัตริย์ ฝั่งพระนคร สร้างขึ้นในวัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาเส้นทางจราจร บนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า และรองรับการเชื่อมต่อระหว่างถนนทั้งสองฝั่ง
สร้างขึ้นเพื่อเป็น พระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกียรติ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวอานันทมหิดล หรือ รัชกาลที่ 8 ออกแบบในลักษณะขึงอสมมาตร แบบสามระนาบด้วยสายเคเบิลสีทอง โดยมีเสาเดี่ยวรับน้ำหนัก และมีความยาวทั้งสิ้น 475 เมตร
สิ่งที่พิเศษ ของสะพานแห่งนี้ คือ จุดชมวิวเป็นห้องลักษณะ คล้ายดอกบัว บนยอดเสาสูง ของตัวสะพาน สำหรับผู้ท่องเที่ยว ผู้สัญจรทางเท้า หรือ ปั่นจักรยาน บริเวณด้านใต้ สะพานพระรามแปด ฝั่งธนบุรี คือที่ตั้งของ สวนหลวงพระรามแปด ซึ่งเป็น สวนอเนกประสงค์ ในการจัดกิจกรรมนันทนาการ รวมถึงงานประเพณีต่างๆ และยังใช้เป็นเขื่อนขนาดเล็ก ในการป้องกันน้ำท่วม เป็นอีกหนึ่ง สถานที่ท่องเที่ยว และสิ่งปลูกสร้าง ริมฝั่งแม่น้ำที่มีเอกลักษณ์อันงดงาม และให้ความสงบ ท่ามกลาง ความวุ่นวาย ในเมืองหลวง